Creative Commons License
photobygolf.multiply.com โดย photobygolf.multiply.com อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย.
อยู่บนพื้นฐานของงานที่ photobygolf.multiply.com.
การอนุญาตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตนี้ อาจมีอยู่ที่ photobygolf.multiply.com

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

รวมTVC Nikon



Nikon Training (Part One)
โดยลุงบ๊อบ คริส


Nikon Training (part two)



Nikon Training (part 3)



Nikon Training (part 4)



Nikon Training (part 5 & final)



วิดีโอการเรียนการสอนหลักสูตรการใช้ไฟแฟลชจาก strobist.com

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กล้องรุ่นใหม่ๆกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

กล้องรุ่นใหม่ๆกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
+ ในยุคสมัยกล้องฟิล์มนั้น การออกกล้องรุ่นใหม่ๆนั้นกินเวลานาน
บางรุ่นอาจนานถึงถึง8-10 ปีเลยทีเดียว เอาว่าอายุเท่าๆกับการออกรถรุ่นใหม่ๆนั่นเอง
คือเฉลี่ย 4-6 ปี อย่างเช่น Nikon F3 > F4 > F5
+ กลุ่มผู้ใช้จะยินดีเเละยอมรับ feature ที่ผู้ผลิตใส่มาให้เเละจะไม่เรื่องมากหรือ demand
สูงเกี่ยวกับสเปคกล้อง กลับกัน จะให้ความสำคัญในเรื่อง film & filter เเทน
+ ผู้ใช้กล้องจะให้ความสำคัญในเรื่องฟิล์มเเละเลนส์เป็นอันดับหนึ่ง หลังจากที่ตัดสินใจซื้อบอดี้เเล้ว
+ ช่างภาพมักมีบอดี้ 2-3 โดยเฉลี่ย รุ่นเดียวกันเเละรุ่นรอง อย่างเช่น F4 2บอดี้ เเละ F90 เป็นบอดี้สำรอง อะไรประมาณนั้น
เเต่ช่างภาพจะลงทุนในในเรื่องเลนส์เเละไฟ มากกว่าบอดี้
+ ช่างภาพจะมีเลนส์จะมีเป็นกระตั๊ก ฟิล์มจะซื้อเเช่ตู้เย็นไว้เลย
+ ตามหนังสือ จะคุยกันเรื่องเทคนิค เลนส์เเละฟิล์มเทสเพราะสมัยนั้นยังไม่มีคอมใช้กว้างขวางเเละยังไม่มีเว็บบอร์ด (forum)

มายุคปัจจุบัน
+ กล้องดิจิตอลออกมาถี่มาก ประมาณทุกๆ 6 เดือนจะต้องมีกล้องออกใหม่ไม่ว่า
ยี่ห้อใดหรือรุ่นใดออกมาเเน่นอน
+ การพัฒนา sensor เร็วมาก เร็วกว่าการพัฒนาเลนส์เพื่อรองรับ
ดังนั้นการออกกล้องรุ่นใหม่เพื่อเพิ่ม feature ใหม่ๆเข้าไปเพื่อสร้างมูลค่าทางการตลาด
ทั้งๆที่ feature หลายๆตัวนั้นเป็นเพียง fancy feature หรือเหมือนของเล่นที่ไม่มีความจำเป็นจริงๆ
เเต่ถูกยัดเยียดให้ โฆษณาเเละปลูกฝังให้เชื่อว่า feature เหล่านั้นมีประโยชน์ คุณต้องการมัน
ยกตัวอย่างเช่น video / picture style / face detection / . . .
เเน่นอนว่าถึงตอนนี้หลายคนจะเเย้งเเล้วว่า มันเป็น feature ที่จำเป็น
คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกกลืนเข้าไปในกระเเสเทคโนโลยี่ที่หลอกตัวเองว่ามันจำเป็น
มีดีกว่าไม่มี สารพัดเหตุผลที่เอามากลบเกลื่อนเข้าข้างตัวเองเพียงเพราะ
ได้เสียเงินไปกับกล้องรุ่นใหม่ๆที่มีอยายุสั้นเพียง 18-24 เดือนเท่านั้น
+ ซึ่งเหล่านี้ต่างจากสมัยก่อนที่คุณตัดสินใจซื้อ Nikon F4 หรือ Canon 1N ตัวเดียว
คุณจะคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด คือกล้องที่คุณจะใช้ไปตลอดจนกว่ามันจะพังคามือ
+ หรือเเม้เเต่ยุค early digital ที่คนตัดสินใจซื้อ Nikon D1 หรือ Canon 1D
ช่างภาพเหล่านั้นก็ยังใช้หลักความคิดเดิมที่คิดว่ากล้องในรุ่นท้อปพวกนั้นซื้อมาทีเดียว
จะสามารถใช้งานได้นานเป็น 10 ปีเหมือน Nikon F4 เเต่เเล้ว....ทุกอย่างก็ตรงกันข้าม
+ การอัพเกรดกล้องในปัจจุบันไม่ต่างอะไรกับการเลือกซื้อฟิล์มเเบบใหม่มาใช้
เพราะกล้องรุ่นใหม่มาพร้อม sensor ที่ใหม่ image processor ที่ใหม่กว่า
ใหม่ทุกครั้งที่ออก ไม่มีที่สิ้นสุด . . . เเล้วมันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน
+ ราคากล้อง hi-end ปัจจุบัน ราคาสูงกว่ากล้องฟิล์ม hi-end ในอดีตถึง 2-5 เท่า
เเต่นั่นก็คือการทดเเทนค่าฟิล์มนั่นเอง

+ Canon EOS 1V = $1,600 Canon EOS 1DsIII = $8,000
ตัวเเรกใช้งานได้เป็นสิบปี+ ส่วนตัวหลังอายุ 3 ปี
เเน่นอนว่า 1DsIII ยังใช้งานได้อีกเป็นสิบปี เเต่อะไรล่ะที่เป็นข้อสรุปว่าไม่จำเป็นต้องอัพเกรด

+ ส่วนนึงต้องยอมรับว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากเหตุผลในเรื่องความสะดวก
ยกตัวอย่างง่ายๆ จากแต่ก่อนถ่ายเสร็จก็ต้องรอเอารูปไปล้าง ถึงจะได้ชมกัน เเละรวมถึงความสะดวก
ในการปรับเเต่งภาพเเละโทนสีในตัวกล้องเลย จะสะดวกมากสำหรับคนที่ใช้คอมเเต่งภาพไม่เป็น

+ ณ วันนี้ ผู้คนยังคงสับสนเเละไม่เเน่ใจในการตัดสินใจใช้กล้องว่าจะยึดติดเเบบเดิมหรือจะตามกระเเสที่เปลี่ยนไป


ผมคนนึงที่ยังคาบเกี่ยวอยู่ตรงกลางระหว่าง ฟิล์มกับดิจิตอล
เหมือนอยู่ในยุค รอยต่อ

ไม่อยากตามกระเเสอัพเกรดกล้องทุก 2 ปีอย่างบ้าคลั่ง จ่ายเป็นเเสนๆ เพื่อได้ใช้กล้องรุ่นใหม่ล่าสุด
เเต่สนุกที่ได้เห็นเทคโนโลยี่ใหม่ๆทุกๆ 6 เดือน

ปัจจุบันผมมีกล้องฟิล์มมากกว่ากล้องดิจิตอลเเละทุกวันต้องจับกล้องฟิล์ม (จับเล่น-ลูบคลำก็ยังดี)

อย่างหนึ่งที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคกล้องดิจิตอลเปลี่ยนไป
อาจอยู่ที่ fancy feature นี่เหละ มันเหมือนขนมหวานที่เอามาล่อ
ประเภทจอใหญ่ 3 นิ้ว สีสวย ถ่ายวีดีโอได้ สารพัดของเล่น
เดี่ยวนี้เห็นคนหันมาเล่น DSLR กันเยอะโดยมองแค่ว่าตัวไหนสเปคสูงสุด
หลายๆคนอาจยึดติดเพียงเเค่ว่าภาพสวยๆได้มาจากกล้องดีๆ หรือไม่ก็เลนส์ดีๆ
ขอเพียงสองอย่างนี้ดียังไงก็ถ่ายภาพได้สวยเเน่นอน

เเละจุดอ่อนอีกอย่างอยู่ที่กลุ่มใช้กล้องในระดับ entry level อัพเกรดบ่อยก็อาจด้วยเหตุผลเพราะราคาบอดี้ที่ถูก
ทำให้สามารถเปลี่ยนบ่อยๆได้ เลยเปลี่ยนทุกๆ 18 เดือน

ส่วนพวกทำงานมีเงินหน่อยก็หนักหน่อย เปลี่ยนทีก็เหยียบเเสน ก็พวก D700 / 5DII
รุ่นกลางๆ 5 หมื่นนี่โดนเเน่ๆ D300 / 50D เหมือนเป็นการซื้อตามเเฟชั่นเเละตามเทคโยโลยี่ใหม่ๆ
มันเป็นเเนวโน้มที่น่ากลัว

ผมเลยขอถอยก่อนดีกว่าสำหรับดิจิตอล หันกลับไปใช้กล้องฟิล์ม
หากผมไม่ใช้โอกาสตรงนี้ ตอนนี้ เวลานี้เก็บเกี่ยว ในอนาคตอาจไม่มีโอกาสใช้กล้องฟิล์มเเล้วก็ได้
หากถึงวันที่เลิกผลิตเคมีล้างภาพ เเต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเราก็ยังมีประสบการณ์เเละความรู้สึกดีๆให้กับกล้องฟิล์ม


ผมกำลังคิดว่าพวกเราๆท่านๆกำลังถูกกระเเสเทคโนโลยี่พัดพาไป (อย่างเเรง)
ในความเร็วที่เร็วเกินไป เเต่หลายคนก็สนุกที่จะให้มันพัดตัวเราไปตามกระเเส

เทคโนโลยี่ด้าน sensor ถูกพัฒนาไปเร็วกว่าการผลิต lenses เพื่อมารองรับ
ตอนนี้หลายค่ายได้หันไปอัพเกรดเลนส์ในค่ายตัวเองเเล้ว
อย่างเช่น Leica 8bit, Canon new coating SWC, Nikkor Nano-G
Mamiya Digital, เเละอีกหลายตัวใน large format

กล้อง leica ที่มีความทนทานสูงมากเเต่กลับบ้าจี้ให้ส่งศูนย์เพื่อ adjust...something
หากทำกล้องตกใส่พื้นพรมในระยะความสูงเพียง 6 นิ้ว...มันบอบบางอย่างนั้นเชียวหรือ
เเต่กับ Canon 1n, Nikon F4,F90 เขวี้ยงลงพื้นดินก้อนกรวดยังใช้งานได้ดีอยู่เลย

ความเชื่อมั่นในสินค้าดิจิตอลมันหายไปหมดเเล้ว
จะยินดีกับผู้ใช้ D700 / 5DII ดีหรือไม่ว่ากล้องท่าน ณ เวลาปัจจุบัน
มีอายุเหลือเพียงไม่ถึง 20 เดือนเเล้ว

ความยากมันอยู่ที่ตรงไหน
มันอยู่ตรงที่ว่าหากเราตัดสินใจซื้อกล้องในระดับ full frame ตัวหนึ่ง
เราจะใช้งานมันกี่ปี จนกว่ารุ่นใหม่จะออก หรือจนกว่ามันจะพัง
จะอดกลั้นต่อเทคโนโลยี่ใหม่ๆไหวหรือไม่

Fancy feature หลายๆตัวกำลังถูกยัดลงไปในกล้องรุ่นใหม่ๆ
เเละอาจจะถูกถอดออกวันใดวันหนึ่งเมื่อถึงอิ่มตัวเเละพิสูจน์เเล้วว่า
มันไม่ work อย่างเช่น video / 21MP / 45 focus point / 10 fps
นอกเสียจากว่ามันจะเป็นกล้องรุ่นพิเศษ คือออกเเบบมาเพื่อการใช้งานที่เเตกต่างเช่น (กีฬา)

ตัวอย่างของ feature ในอดีตที่ถูกถอดออกก็อย่างเช่น Eye control ในกล้อง EOS
ที่พิสูจน์เเล้วว่าในการใช้งานจริงนั้นมีปัญหา

มีการเเยกเหตุผลการอัพเกรดกล้องในลักษณะนี้
1) กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป ที่ไม่ได้มีรายได้จากการถ่ายภาพ - อันนี้น่าจะเป็นกล้องระดับล่างเเละกลาง อย่างเช่น
Nikon D40/D90
Canon 1000D/450D
Olympus E420/520
ในระดับนี้การอัพเกรดจะบ่อยเเละทำกำไรมากที่สุด เพราะราคาถูกเเละบอดี้ไม่เเข็งเเรง วัสดุเปราะบาง
เเละกลุ่มผู้ใช้ enjoy เป็นอย่างมากกับ feature ที่ให้มา


2) กลุ่มผู้ใช้ที่หารายได้จากการถ่ายภาพเป็นงานเสริม - กลุ่มนี้อาจจะเลือกใช้รุ่นกลางที่ราคาไม่เเพงนักอย่างเช่น
Nikon D300/D700 Canon 50D/5D
กลุ่มนี้ก็มีเเนวโน้มสูงที่จะเปลี่ยนกล้องทุกครั้งที่มีรุ่นใหม่ออกมา ปัจจัยผันเเปรโดยตรงคือเรื่องเงิน หากเงินพอ อัพเเน่นอน

3) กลุ่มผู้ใช้อาชีพ คือมีอาชีพหลักในการถ่ายภาพ - กลุ่มนี้อาจอัพหรือไม่อัพก็ได้ เเล้วเเต่เหตุผลของเเต่ละคน
เเละเหตุผลในเรื่องประเภทของงานที่รับจ้างมาด้วย ปล.ในที่นี้เงินไม่ใช่อุปสรรค
Nikon D300/D700 /D3/D3X
Canon 5D/5DII/1DIII/1DsIII
Olympus E3

สาเหตุที่ไม่อัพเกรดของช่างภาพอาชีพ
+ กล้องปัจจุบันหรืออาจจะตกรุ่นไปเเล้ว ยังให้คุณภาพที่ดีพอ ยังได้รับการยอมรับจากลูกค้าว่าคุณภาพยังดีอยู่
+ มองเห็นว่าการใช้กล้องอย่างน้อยๆ3-5 ปี เป็นความคิดที่ถูก เป็นการบริหารเงินที่ถูกต้อง ในเเง่หนึ่ง

สาเหตุที่ต้องอัพเกรด ของช่างภาพอาชีพ
+ ในหน้าที่การการบีบให้จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ทันสมัยรุ่นล่าสุดเสมอ เพราะต้องการทันสมัยในเทคโนโลยี่
+ เกี่ยวกับเรื่องการขาย การใช้ feature ใหม่ๆเเละ model กล้องเป็นจุดชักจูง เป็นจุดขายอย่างหนึ่ง
+ พัง เเละใช้จนเลยจุดคุ้มทุนเเล้ว
+ เป็นอะไรที่จะต้องตามไปจนวันตาย

จบ...(จาก etcfoto)

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

ท่าพ๊อตเทรด

รูปนี้เป็นการโพสท่าต่างๆ ของนางแบบนะครับ (มีบางท่า SEXY นะ อิอิ)
Posted by Picasa

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

I LovE NiKoN

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

หมู่บ้านเด็กตะวันฉาย จ.ภูเก็ต



เมื่อก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อน (ที่เป็นอาสาสมัคร) อยู่ที่บ้านแห่งนี้ และวันเดียวกันนี้เป็นวันที่เขาได้นำเสื้อผ้ามาบริจาคให้เด็กๆ

หมู่บ้านเด็กตะวันฉาย หรือ Phuket Sunshine Village เป็นสถานที่ๆดูแลเด็กด้อยโอกาสแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ต ที่มีรูปแบบการบริหารที่เป็นมาตรฐาน โดยได้แนวคิดจาก (เอสโอเอสคินเดอร์ดอฟ) เป็นแบบอย่าง ด้วยโครงการจัดสร้างหมู่บ้านนี้ได้ริเริ่มจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย (สึนามิ) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2547 ซึ่งในประเทศไทยได้รับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
วัตถุประสงค์ของหมู่บ้านเด็กตะวันฉาย
- ช่วยเหลือเด็กให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
- เลี้ยงดูและส่งเสริมเด็กให้มีคุณธรรม จริยธรรม และระเบียบวินัย
- ให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้ศิลปะ วัฒนธรรมแบบไทยและกฏหมายที่ควรรู้
- ส่งเสริมเด็กได้เรียนรู้โอกาสด้านอาชีพเพื่อสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ในอนาคต

ท่านที่ประสงค์จะช่วยเหลือก็ติดต่อที่ได้
15/20 ซ.น้ำหนึ่งใจเดียวกัน หมู่ 1 ถ.เทียมประชาอุทิศ เกาะสิเหร่ ต.รัษฏา อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000
หรือที่เวปไซต์ http://www.phuketsunshinevillage.org/ ครับพี่น้อง


วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ทริปแก่งกระจาน-พะเนินทุ่ง


เริ่มเดินทางจากกรุงเทพ ไปถึงจังหวัดเพรชบุรี เช้าวันศุกร์ไปถึงบ้านนัดเวลาประมาณ 8.30น. เพื่อไปให้ถึงที่แก่งกระจานก่อนบ่ายสามโมง (เพราะเค้าจะให้รถขึ้น-ลงเป็นเวลา เพราะบนพะเนินทุ่งรถจะเดินได้แค่ทางเดียว เวลาบ่าย2 กว่าๆ เราก็ไปถึงแก่งกระจาน อ่อ...ลืมไป เราไปกัน4คน คือ ผม เต้ นัท และ กอล์ฟ พอไปถึงก็ไปติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อจะขอพัก และค้างคืน ค่าบริการคนละ 40บาท
- ทริป "พะเนินทุ่ง" เราต้องเช่ารถเพื่อจะขึ้นไปบนพะเนินทุ่ง เพราะต้องใช้รถ 4x4 เท่านั้น ค่าเช่ารถไป-กลับ 2000บาท ระยะเวลาการเดินทางประมาณ 1ชม.40นาที ผ่านทางถนนลูกรังและบางแห่งก็มีลำธารไหลผ่าน พอไปถึงที่พะเนินทุ่งก็ตั้งเต้นท์ (วางแผนจะพักค้างคืน1คืน) พอกางเต้นท์เรียบร้อย ก็ออกสำรวจจุดถ่ายรูปไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ คืนนั้นผมนอนหลับประมาณ 2ทุ่ม อากาศเย็น อุณหภูมิ น่าจะอยู่ราวๆ 10 กว่าองศา มีหมอกลง คืนนั้นหลับเต็มอิ่ม ตื่นเช้าประมาณตี5 ออกไปถ่ายรูป

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โฆษณาดีๆ...ที่ข่มขืนคุณ

มาถึงเล่มใหม่ของ "ครีเอทีฟหัวตีบ" สำหรับเล่มนี้พบเข้าโดยบังเอิญที่ร้าน นายอินทร์ สาขา เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน (เพราะผมไปวนเวียนอยู่ที่นั้นบ่อยๆ) มันอยู่ในชั้น เรื่องสั้น มันอังเอิญจริงๆ เพราะตอนนั้นผมไม่มีอะไรทำ เลยยิบหนังสือดูไปเรื่อยๆ (ปกติผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับประวัติตัวเองอ่ะนะ) ยิบไป-ยิบมาไปยิบโดนหนังสือเล่มนี้เข้า พลิกไป_มา (เอ้า...ของครีเอทีฟหัวตีบ....นี่หว่า)พออ่านไป อ่านมา โห ราคาแพงอยู่เชียว..ง(สำหรับผมนะ) มันไม่ลดด้วยสิ ส่วนเนื้อหาภายในเล่มก็เป็นงานเขียนเกี่ยวกับเนื้องานโฆษณาที่พี่เค้า ยกมาเป็นตัวอย่าง เป็นเทคนิค วิธีการขายโฆษณานั้น และเทคนิคการสร้างสรรค์โฆษณาต่างๆที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เช่น วิธีทำชีสของพิซซ่า และเทคนิคการถ่ายภาพยนต์โฆษณาของผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม เนื้อหาโดยสรุปแล้ว ผมคิดว่าเล่นนี้ก็เป็นเล่มที่ดี อีกเล่มหนึ่ง ของ"ครีเอทีฟหัวตีบ"เหมือนกัน
GaLaPaGolF.SP

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หนังสือ....กู(รู้)

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือแนวเล่าเรื่องราวชีวิตโดยผสม..(แอบ...แอบ)...ใส่เนื้อหาเกี่ยวกับวงการโฆษณาลงไปด้วย... แต่เรื่องราวของผู้เขียนก็น่าสนใจครับ เพราะเป็นคนที่ผ่านงาน และมีประสบการณ์มากมาย (ตัวข้าพเจ้าก็อยากจะมีประสบการณ์แบบนี้บ้าง.....จัง) ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้(อันนี้ต้องอ่านดู..นะครับ) ส่วนงานเขียนเป็นงานเขียนที่ดีมาก มีการนำประสบการณ์ด้านการทำงาน เช่น ไปทำงานต่งประเทศ วิธีการทำงานกับบริษัทใหม่ๆ การพบปะผู้คน การปรับตัว และอีกหลายเรื่องราว ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีอีกเล่มนึ่งครับ ...

อ่อ ...เกือบลืม ชื่อผู้เขียน คุณ ปารเมศร์ รัชไชยบุญ

GaLaPaGolF.SP

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ไอเดีย...ถ่ายสะดวก กับ Mad...in Japanแดนบ้าฮาโคตร


ถอยมาอีกแล้วครับกับหนังสือใหม่(ของผม) แต่ความจริงมันก็เก่าอยู่น้า...(อิอิ) เป็นหนังสือที่หายากมากอีกเช่นเคยครับ กว่าจะหาซื้อมาได้ ต้องใช้เวลาในการรอคอยสูง (และนานด้วย) ส่วนคนเขียนก็คนเดิมนั้นแหละ "ครีเอทีฟหัวตีบ" ไงล่ะ...อ่อลืมบอกไปว่า ไปซื้อที่งานสัปดาห์หนังสือนะ ส่วนเนื้อหานั้นไม่มีอะไรมาก จะเน้นเรื่องภาพมากกว่า เป็นภาพไอเดียต่างๆจากสิ่งพิมพ์โฆษณาจากต่างประเทศ และ ภาพถ่ายจากเมืองไทย (ที่มันแปลกๆอ่ะนะ) ส่วนเล่มที่ 2 "mad...in Japanแดนบ้าฮาโคตร" ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นประเทศอะไร...คงไม่ต้องอธิบาย..เน้อ ก็คือโฆษณาของประเทศญี่ปุ่นเค้านั้นแหละ เป็นไอเดียแปลกๆ (ผมว่าคนเค้าหัวครีเอทีฟ จริงๆนะ) ...อืม!!!ที่เหลือลองไปหาดูเอาเองล่ะกัน(อิอิ)...จบซ่ะง่ายๆอีกแล้ว...อ๋อ ผมขอเพิ่มอีกหน่อยว่า ถ้าไม่แฟนพันธ์แท้จริง คงจะหาซื้อยากหน่อยนะ (เพราะมันขาดตลาดงั้นเหรอ) ไม่หรอก สงสัยเค้าเก็บคือสำนักพิมพ์หมดแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าจะซื้อต้องรอสำนักพิมพ์เค้าออกงาน อ่ะนะและที่สำคัญต้องลด 50%ด้วย อ๋อ...ชื่อสำนักพิมพ์ก็คือ ฐ การพิมพ์จ๊ะ ....ส่วนคนที่จะโทรไปถามคนเขียน..ผมขอบอกว่าเปล่าประโยชน์นะ....เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่านี้แลฯ ส่วนลายเซ็นต์ (มิได้นำพา....จ้า)
GaLaPaGolF.SP

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ครีเอทีฟไล่ควาย และ หรรษาปริญญาบัตร...ซบ


หนังสือของนักเขียนที่ชื่อ ครีเอทีฟหัวตีบ เป็นอีกเล่นแล้วครับที่ผมซื้อมา (รู้สึกว่าผมจะติดใจสไตส์การเขียนของนักเขียนผู้นี้ซ่ะแล้ว)เหอๆ เป็นเล่มที่2และ3 แล้วที่ผมซื้อมา อ่อ....แต่คราวนี้ผมสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต (เป็นการซื้อกับนักเขียนโดยตรง) ส่วนราคานั้นก็300บาทจ๊ะ รวมสองเล่มแถมCDหนังโฆษณาด้วย 2แผ่น หนังสือมีชื่อว่า ครีเอทีฟไล่ควาย และ หรรษาปริญญาบัตร...ซบ เรื่องราวการซื้อนั้น ตอนแรกผมสั่งซื้อทางโทรศัพท์(จริงๆแล้วไม่กล้าโทรไปหรอก...กลัวพี่เค้างานยุ้ง)....เง้อ คนเขียนบอกว่าตอนนี้เล่มอื่นไม่มีแล้วนะครับ เหลือแต่2เล่มนี้ สั่งซื้อทางพี่ได้เลย ผมก็OKไป รุ่งเช้าโอนทันทีครับ 300บาท แล้วmailไปบอก พี่เค้าตอบมาว่าได้รับแล้ว พี่เค้าถามว่าเรียนที่ไหน คณะอะไรเหรอ ผมก็ตอบว่า ศรีปทุม คณะนิเทศADครับ พี่เค้าก็บอกว่า งั้นไม่ส่งแล้ว....(อ้าว...กำ เงินก็โอนไปแล้ว...จะโกงเหรอ)เลื่อนลงมาเรื่อยๆ(ในmailอ่ะนะ)แล้ว.........พี่เค้าบอกว่าให้มารับที่ศรปทุมได้เลย เพราะพี่เค้าสอนอยู่ที่นี่.....(อ้าว...โลกมันกลมนะเนี้ย) รุ่งเช้าก็ไปที่ มอเลยครับ สรุปว่าได้ทั้งหนังสือและลายเซ็นต์ (แบบ...ยังไงๆ....ก็ไม่รู้).....มาด้วยประการฉะนี้
GaLaPaGolf.SP


วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ชั้นวางหนังสือ

ชั้นวางหนังสือสุดเท่ของข้าพเจ้า.........อิอิ ความเป็นมาก็คือ ไปซื้อกล่องกระดาษจาก B2S มาราคา กล่องละ 9บาท ซื้อมา 5 กล่อง(เอาไว้ใส่หนังสือและเอกสารต่างๆ) ตอนแรกก็กะว่าจะเอามาวางๆ ไว้เฉย แต่ทันใดนั้นเอง ความคิดก็พุ่งขึ้นมา (หาอะไรมาตกแต่ให้มันเท่หน่อยดีกว่า) สรุปแล้วก็คลิกๆไปบนโลก อินเตอร์เน็ต แล้วก็เจอชื่อบ้านใน แฮรี่ พอตเตอร์ มีอยู่ 4บ้านพอดี (อีกอันหนึ่งข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะใส่ชื่อ Private)พอดี เลยสรุปว่าปริ้นโลโกบ้านมาแล้ว กลอนของบ้านนั้นๆมาด้วย ติดมันซ่ะเลย (สวยดี).........และแปลกไปอีกแบบ.....เน้อ

GaLaPaGolf.SP

เชอร์ล็อก โฮล์มส์

ไปถอยมาอีกแล้วกับหนังสือเชอร์ล็อก โฮล์มส์ เป็นหนังดีอีกเล่มหนึ่งที่จะแนะนำ (ความจริงมันมีหลายเล่ม และหลายชุด) วันนี้ไปซื้อมาจากร้านหนังสือมือสอง ราคา230 บาท (มันไม่ได้ลดเลยนะเนี้ย) แต่ดูจากรูปเล่มแล้ว คงเป็นหนังสือค้างสต็อก เพราะไม่มีรอยการเปิดอ่านเลย มันยังเรียบเสมอต้นเสมอปลายดี

ส่วนเนื้อหานั้นตอนนี้กำลังอ่านอยู่ แต่ได้ใจความคร่าวๆว่า เป็นนิยายนักสืบ และมีมาหลายปีแล้ว (เป็นร้อยปี) ที่ผมตัดสินใจซื้อมานั้น เพราะ โคนันครับ เพราะในเรื่องโคนันพูดถึงหนังสือเรื่องนี้อยู่เสมอ ก็เลยไปลองซื้อมาดูสิ ว่ามันสนุกจริงหรือเปล่า (ส่วนตัวข้าพเจ้าว่า มันสนุกดีนะ) ถ้าเล่มนี้เป็นที่ถูกใจข้าพเจ้า ขอรับลองว่า เล่มอื่นๆจะตามมาในไม่ช้า (แน่นอน)
GaLaPaGolf.SP

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บันทึกน้ำตา 1 ลิตร

บันทึกน้ำตา1ลิตร นี่ก็เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งของข้าพเจ้าที่ลงทุนออกเงินเอง มันเป็นหนังสือที่บันทึกชีวิตประจำวันของเด็กคนหนึ่งที่มีอาการทางสมอง (ตั้งแต่ไม่รู้ตัว ....จนถึงเขียนไม่ได้) เป็นของคน Japan ข้าพเจ้าเห็นเขาบอกว่า ใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว น้ำตาต้องไหล (เหมือนชื่อหนังสือ) แต่ตอนที่ข้าพเจ้าเขียนBlog นี้ ยังอ่านไม่จบทีนะ จึงขอเขียนไว้เพียงเท่านี้ก่อน วันหลังอ่านจบแล้วจะมาเขียนใหม่
ตอนนี้ซื้อDVD เื่รื่องนี้มาดูแล้วะจ๊ะ (1ต.ค. 51)
GaLaPaGolf.SP

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หนังสือCEO 1-2-3

ในเหล่าบรรดาหนังสือของข้าพเจ้า(ที่ลงทุนออกเงินซื้อเอง) หนังสือสองเล่มนี้เป็นหนังสือที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เป็นหนังสือที่คุ้มค่า คุ้มราคา เพราะมันราคา 100บาทเอง (แถมเล่มหนาซ่ะด้วย) รายละเอียดส่วนใหญ่เป็นประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต และคนร่ำรวย (เป็นCEOของโลก) และบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันในโลก ส่วนเนื้อหานั้น การเขียนผู้เขียนคือ คุณ วิกรม กรมดิษฐ์ ได้เขียนไว้แบบเข้าใจง่าย และมีถึงสองเล่ม ที่รวบรวมประวัติของบุคคลเหล่านั้นไว้หลายคน จากการที่ได้อ่านแล้วนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีมากๆ และควรหาซื้อเก็บไว้(เป็นความรู้รอบตัว)

( 11ตุลาคม ) คราวนี้มาอัฟเดตหนังสือออกใหม่ เป็นเล่มที่3 ต่อจากเล่ม 1และ2 เนื้อหาของหนังสือนี้ก็เหมือนกับเล่ม 1-2 ที่เป็นประวัติของบุคคลต่างๆเช่นเคย
GaLaPaGolf.SP

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ไปซื้อมาอีกแว้ว(หนังสือ)ในราคา 85บ

ไปซื้อมาแว้วครับ....สำหรับหนังสือเล่มนี้ (เพราะมันหาอยากมากๆ) จะไปหาซื้อตามร้านปกติไม่มีนะครับ เพราะมันวางขายมานานแล้ว(ประมาณ2ปีกว่าๆ)...อ่อ....ที่ผมไปหาซื้อมาได้นั้น เพราะว่าเป็นความบังเอินอย่างยิ่ง (จะเล่าให้ฟัง) วันนี้ไปเดินอวดความหล่อแถวๆเดอะมออล์(งามวงค์วาน)เดินไป ก็เดินมา ไปเจอร้านหนังสือ(ที่มันเป็นร้านเล็กๆอยุ่ตามทางเดินอ่ะนะ) เลยตรงเข้าไป อัพเดทข่าวสารฟรีหน่อย บังเอิญ!!!!เลือบไปเก็นเล่มสีชมพู สะดุดตาเข้า (ในใจคิดว่าเคยเห็นที่ไหนน้า....) เลยเดินไปหยิบมาดู โอ้!!!!! มันเป็นหนังสือในตำนานนี้หน่า ก็หยิบขึ้นมาชม ว้า เขียนได้ดี(ดังคำที่เค้าว่าในNET) อ่านไป ก็กลับหัวไป-มา เหอๆ ตลกดี เลือบไปเห็นราคา 170บ ว้าว ......(ไม่ได้คิดอะไร..อุทานเฉยๆ อิอิ) เพราะว่ารู้อยู่แล้วว่า ราคาคงจะประมาณนี้ แต่ทันใดนั้น ความจริงที่แสนประทับใจก็เกิดขึ้น (มันมีป้ายเขียนบอกว่า สินค้าลดราคา 50%) ทันใดนั้นเอง เงินก็ออกจากกระเป๋าข้าพเจ้าไปโดยง่ายดาย(ซ่ะนี่กระไร) นั้นจึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้.....เทอญ อ่อ ลืมไป บ้าโฆษณา...ฮาโคตรสนุก<-----มันคือชื่อหนังสือแหละ...จะบอกให้
GaLaPaGolf.SP

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข้าพเจ้ามีความคิดที่จะอ่านหนังสือ(อ่านแบบจริงจังอ่ะนะ) เพราะสมัยก่อนข้าพเจ้าไม่เคยที่จะอ่านหนังสือจบสักเล่ม(ขายหัวเราะก็ยังอ่านไม่จบเลย) ตอนนี้ก็เลยซื้อหนังสือมาอ่านเยอะมากเลยทีเดียว(แต่ก็ยังอ่านไม่หมดหลอกนะ) เล่นที่นำมายกตัวอย่างนี้(จากหนังสือไม่กี่เล่มของข้าพเจ้า) เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับ การโฆษณา(ก็เห็นเขาว่ามันสนุกดี มีสาระดี) ข้าพเจ้าก็เลยตัดสินใจซื้อมาด้วยราคาที่แสนแพง (ไม่รู้นะว่าคุณคิดว่าแพงหรือเปล่า) มันมีชื่อว่า โฆษณา โฆษณุก แต่งและเขียนโดยคนในวงการโฆษณา(เห็นเขาว่างั้น)
GaLaPaGolF.SP

สวัสดีครับ

สวัสดีครับ นี้คือ Blog ของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าเขียนเป็นครั้งแรก สาเหตุที่ข้าพเจ้าเขียน Blog นี้ขึ้นมาเพราะ มีความต้องการที่จะ ฝึกฝนทักษะให้การเขียนบทความ แล้วยังเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆในชีวิตของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าผิดพลาดประการใด หรืออ้างอิงบทความใดๆที่ไม่ได้รับอนุญาต ตัวข้าพเจ้าเองต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
และบทความใดที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นเองจะมีคำว่า (GaLaPaGolf.SP)ต่อท้ายเสมอ

GaLaPaGolf.SP
Posted by Picasa